สอนทำนายหน้าขายบ้าน ขายอสังหาฯ แบบไม่กัก
อยากเริ่มทำอาชีพนายหน้าขายบ้าน
EP.1
สอนทำนายหน้าขายบ้าน ขายอสังหาฯ แบบไม่กัก
อยากเริ่มทำอาชีพนายหน้าขายบ้าน EP.1
บทความนี้ผมจะขอปรับมุมมองความคิดของคุณผู้อ่านก่อนว่า
ทำไมต้องทำอาชีพนายหน้า
1. เป็นอาชีพที่ได้เงินมาก ทำแล้วได้เงินเป็นก้อนใหญ่ คุ้มค่ากับการลงทุนทำ
2. เป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนในการทำ หลายคนสามารถที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการเป็นนายหน้าขายบ้าน แนะนำขายบ้าน บางคนสามารถที่จะปลดหนี้สิน ได้ด้วยกันขายบ้าน ขายที่ดิน หลายคนร่ำรวย จากการทำอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
3. เป็นอาชีพทำได้อย่างต่อเนื่องตราบช่วงชีวิตคนเรา สามารถทำได้ทุกพื้นที่ที่เราอยู่อาศัย ไม่มีข้อจำกัดในการทำ
การทำนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ นายหน้าขายบ้าน คุณจะต้องรู้ 5 เรื่องดังต่อไปนี้
- คุณจะต้องประเมินราคาให้เป็น
2. คุณต้องรู้ความต้องการ
3.เรียนรู้เรื่องการขาย
4. ต้องเข้าใจคนซื้อและคนขาย
5 .คุณจำเป็นที่จะต้องเข้าใจกฎหมาย
การทำนายหน้าจะต้องมีทักษะที่สำคัญ 5 ข้อดังนี้
- คุณจะต้องมีทักษะเรื่องของการขาย
- คุณจะต้องมีทักษะเรื่องของการทำตลาด
- คุณจะต้องมีทักษะในเรื่องของการเจรจา
- คุณจะต้องมีทักษะในเรื่องของการทำสัญญา
- คุณจะต้องมีทักษะเรื่องของจิตใจ
1. คุณจะต้องมีทักษะเรื่องของการขาย
1.ทักษะการ "เปิด" งานขาย2.ทักษะการ "ปิด" งานขาย
นี่คือ.. 2 ทักษะการเปิดการขาย และ 4 เทคนิคสำหรับงานขายปิดงานขาย
ทักษะการ "เปิด" งานขาย
- “คุณต้องโชว์ว่าคุณมีความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ ถ้าคุณอยากจะซื้อสินค้าซักชิ้นหนึ่ง คุณอยากจะซื้อสินค้ากับเซลล์ขายมือใหม่มือเก่าครับ แน่นอนคือฝีมือคุณอยากจะซื้อกับเซลล์คือเก่า หรือคุณจะซื้อประกันภัยหรือประกันชีวิตกับตัวแทนขายมือใหม่หรือว่าตัวแทนขายมืออาชีพครับ .. ใช่ครับ แน่นอนว่า อยากจะซื้อกับตัวแทนขายมืออาชีพ เพราะซื้อแล้วสบายมากกว่า ดังนั้นการที่คุณจะเสนอขายสินค้า สิ่งแรกที่คุณต้องนำเสนอเลยคือ “คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ คุณมีประสบการณ์เรื่องนี้ สิ่งที่คุณ Present สิ่งที่คุณนำเสนอนั้น คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า เพราะคุณ มีความรู้และประสบการณ์ ฉะนั้นข้อแรก คุณต้องโชว์ความชำนาญครับ
2. “คุณมาเพื่อช่วยลูกค้า”
“คุณไม่ได้มาขาย..คุณมาเพื่อช่วย” เมื่อไรที่ลูกค้าได้กลิ่นอายของการขายปุ๊บ ลูกค้าจะเริ่มตั้งกำแพง และระมัดระวังตัวกับคุณทันที เฮ้ย เสียวมาแล้วนะ ระวังตัวดีๆนะ เก็บกระเป๋าตังค์ดีๆนะ เดี๋ยวเซลล์จะมาเอาตังค์ของคุณไปนะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าได้กลิ่นอายของการขายนั่นคือ “ลูกค้าจะเริ่มถอยหนี” ละครับ คุณรู้ไหมครับว่าลูกค้าต้องการอะไร? ลูกค้าต้องการความรู้สึกว่าคุณมาเพื่อช่วย ฉะนั้นด้วยเสียง สีหน้าแววตาที่คุณพูดคุยกับลูกค้า ต้องบอกลูกค้าครับว่า“ผมมาเพื่อช่วยคุณลูกค้าเลือก จะซื้อ ไม่ซื้อ ไม่เป็นไรนะครับ หรือ ถ้าเกิด บ้านของผมไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ผมจะช่วยแนะนำตัวแทนขายที่มีบ้านเหมาะสมกับลูกค้าให้แทน” ขอเพียงแค่ผมทราบปัญหาทราบความต้องการของลูกค้าก็พอแค่นี้เองครับ แค่คุณใช้ 2 อย่างนี้คุณก็สามารถเปิดใจลูกค้าได้แล้วครับ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องปิดการขายก็ได้
เทคนิคการ "ปิด" การขาย
1. “คุณต้องเป็นคนคุมเกม”
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณไม่ได้ผู้คุมเกม คุณแพ้ เช่น: บ้านหลังเท่าไหร่คะ …”อ่อ บ้านราคา 1,300,000 บาทครับ” หากคุณตอบแบบนี้ ..จบครับ … ตัวอย่างที่ควรจะเป็นจะเอาไปประยุกต์ใช้ บ้านหลังนี้ราคาเท่าไหร่คะ ..อ่อ เดี๋ยวขออนุญาตสอบถามก่อนนะครับ ว่าที่ทำงานของลูกค้าอยู่ในโซนไหนครับ ? เพราะผมจะช่วยดูว่า มันไกลจากที่ทำงานของคุณพี่หรือเปล่า ถ้าหากมันไกลกินไป ผมจะช่วยแนะนำบ้านที่ใกล้ที่ทำงานให้พิจารณาเพิ่มเติมครับ2. คุณต้องเป็นคนหาแผล ของลูกค้าให้เจอ
คำถามคือ ทำไมหมอถึงขายของให้คุณได้ทุกรอบ ก็เพราะก่อนเสนอขายสินค้า หมอเขาไล่ความต้องการของคุณก่อน หมอวินิจฉัยคุณอาการคุณไว้หมดแล้ว หมอบอกก่อนว่า ถ้าเกิดไม่ทานยาตัวนี้ อาการมันจะร้ายแรงยังไง ต้องหาความต้องการให้เจอก่อน หามี 1 ถึง 10 อันดับ คุณต้องไล่ไปจนถึงระดับ 9 ครึ่ง แล้วคุณถึงจะเสนอขายสินค้าพร้อมราคา เช่น: ทำไมคุณถึงอยากได้บ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้อยู่ใกล้ที่โรงเรียนของเด็กๆใช่ไหมครับ บ้านหลังนี้มันกว้างและมีพื้นที่ว่างมากกว่าบ้านหลังเดิมใช่ไหมครับ ต้องการรับคุณแม่มาอยู่ด้วยใช่ไหมครับ3. โชว์ตัวอย่างความต้องการให้ลูกค้าดู
เมื่อคุณรู้ว่า เขาอยากได้อะไร ให้คุณ โชว์เคสตัวอย่าง ที่ใกล้เคียงกับลูกค้าที่ใกล้เคียงกับลูกค้าให้เขาดูครับ “คุณพี่ต้องการแบบนี้ใช่ไหม? .. แล้วก็โชว์เคสในเขาดู หรือส่งแบบบ้านให้เขาดูว่า..คุณพี่คะต้องการนี้ใช่ไหม? แล้วให้ลูกค้าค่อยบอกคุณมาเรื่อยๆ จนตรงกับสิ่งที่ลูกค้าอยากได้4. คุณต้องให้ข้อมูล แต่ข้อมูลนั้นต้อง support ความกลัว
หากลูกค้าเลือกบ้านที่ไม่ใช่ของเรา คุณอาจจะต้องใช้วิชามารหน่อย ยกตัวอย่างเช่น: บ้านหลังนั้นก็ดีนะครับ แต่ต้องระวังหน่อย เพราะนิติบุคคลของหมู่บ้าน ค่อนข้างจะไม่เอาใจใส่ลูกบ้าน หรือ บ้านหลังนั้นก็ดีนะครับ แต่ต้องระวังหน่อย เพราะว่าไม่มียามรักษาความปลอดภัย เพื่อให้ลูกค้าหันมาสนใจบ้านหลังที่คุณกำลังนำเสนอ และให้ลูกค้าเห็นว่าเป็นบ้านที่มีศักยภาพดีกว่า คุณอาจจะต้องใช้ข้อมูลในด้าน “ความกลัว” ส่งไปให้ถึงลูกค้า และนี่คือ 2 กลยุทธ์ 4 เทคนิคสำหรับงานขายบ้านงาน ขายอสังหาริมทรัพย์ ที่คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้การทำอาชีพนายหน้าของคุณสามารถหวังผลลัพธ์ในการทำงานได้2. คุณจะต้องมีทักษะเรื่องของการทำตลาด
การทำตลาดสำหรับนายหน้ามือใหม่หรือคนที่กำลังเริ่มฝึกทำในหน้า แล้วปัจจุบันมันมีช่องทางในการทำการตลาดมากมายอย่างเช่น Facebook , Facebook Fanpage , Line , Google , หรือเว็บไซต์ต่างๆที่เกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลายร้อยหลายพันเว็บไซต์ให้เราเข้าไปใช้บริการ
แต่สำหรับการทำตลาด ของนายหน้ามือใหม่ ผมอยากจะแนะนำให้ฝึกทักษะการทำ Content Marketing ซึ่งคุณจะสามารถขายอสังหาได้อย่างต่อเนื่อง แต่การทำ Content Marketing คุณจะต้องศึกษาหาความรู้ เพราะเป็นอีกลักษณะหนึ่งที่จะต้องอาศัยการฝึกฝน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้นเรื่องทักษะการตลาด ผมจะแนะนำแนวทางไว้เพียงแค่ว่า หากคุณต้องการทำอาชีพนายหน้าในระยะยาว คุณต้องฝึกทำการตลาด ในรูปแบบ Content Marketing คุณจะได้ไม่หลงทาง แล้วจะได้เดินในอาชีพนายหน้าในอนาคตได้อย่างยั่งยืนด้วย
ดังนั้นคุณควรไปฝึกทำ Content , เขียนบทความ ,ไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับ การเขียน Content ,หาอ่านหนังสือเกี่ยวกับ จิตวิทยามนุษย์, ไปหาอ่านหนังสือเกี่ยวกับ Marketing หรือการตลาด
จะทำให้คุณต่อยอดและสามารถประสบความสำเร็จในการทำอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
3.คุณจะต้องมีทักษะในเรื่องของการเจรจา
ทำไม เราต้องมาสนใจเรื่องคำพูด เพราะเวลาคุณกับลูกค้าเจอกัน แต่ว่าคุณไม่รู้จักการที่จะพูดกับลูกค้าไม่รู้จักวิธีจะสื่อสารกับลูกค้า ไม่รู้จักวิธีการที่จะแนะนำลูกค้า ปัญหาที่ตามมาคือ “ไม่มีทางขายได้แน่นอน”
พนักงานขายหรือนายหน้าหลายคน ไม่รู้เทคนิคในการที่จะพูดว่า เพื่อจะสร้างอิทธิพล อิทธิพลก็คือ เวลาที่คุณพูดกับลูกค้าแล้วมันเหนือความรู้สึกของเขา ทำให้เขาตัดสินใจได้ง่าย เวลาเราพูดปุ๊บมันโดนใจ มันแทงใจมัน คำพูดมันไปบดขยี้ความรู้สึก ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากซื้ออยากได้ รู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันจำเป็นสำหรับเขานะ การจะพูดให้ได้แบบนี้นั้น มันมีเทคนิคซ่อนอยู่
สำหรับใครที่พึ่งมาทำงานขายอสังหาริมทรัพย์หรือทำมานานแล้ว บางคนก็ใช้ความรู้สึกในการขาย ไม่ได้เจาะลึกลงไปว่า กระบวนการต้องทำไง แนวทางต้องทำอย่างไร วันนี้เรามาดูกันนะครับ
คำพูดที่มีอิทธิพลต่อการซื้อ
พูดให้เป็นธรรมชาติ
มีหลายคนมักเขียนสคริปให้อ่านประมาณว่า “สวัสดีค่ะดิฉันชื่อ … มีบ้านอยู่ 3 หลัง ราคา เท่านี่ เท่านั้นนะค่ะ” ซึ่งเวลาฟังดูแล้วมันเหมือนหุ่นยนต์ ความรู้สึกว่ามันตึงเครียด คนฟังก็รู้สึกตึงเครียดไปด้วย และสำคัญที่สุดคือ เวลาคนฟังแล้ว คนขายตอบไม่ได้ ตอบไม่ถูก เพราะว่ามันหลุดสคริปไปแล้ว ลูกค้าไม่ได้ถามตามที่ script ให้ จึงตอบไม่ได้ ไปไม่ถูก มึน งง
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาความเป็นธรรมชาติของตัวคุณเอง คุณรู้สึกของคุณเองในการพูดอย่างเป็นธรรมชาติ แต่คำว่าธรรมชาติ คือ คุณต้องมีกาละเทศะ มีความสุภาพด้วยนะครับ ต้องให้เกียรติคนฟัง ไม่ใช่แบบว่า “หนูก็เป็นคนอย่างนี้พูดอย่างนี้ หนูพูดจาห่ามๆแบบหมู่บ้านของเราเนี่ยเงี้ยพูดจามุทะลุแบบนี้” ไม่ได้นะครับ
เราอย่าลืมนะครับว่า บ้านหลังนึ่ง หรือ คอนโดที่ลูกค้าดูของเราอยู่เนี่ย มูลค่าราคาเป็นล้านๆ นะครับ การที่ลูกค้าสนใจที่จะเข้ามาซื้อ ก็ต้องแสดงว่า เขาต้องมีเงินระดับหนึ่ง เป็นคนที่มีหน้าตามีตำแหน่งทางสังคมระดับหนึ่ง เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เกียรติเขา
เพราะฉะนั้นของเราเองที่จะพูด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้มันเป็นธรรมชาติ เราสามารถที่จะศึกษาเริ่มต้นจากการพูดตามสคริปต์ก็ได้ แต่ไม่ควรจะพูดตามสคริปต์ 100% เพราะถ้าเราพูดตามสคริปต์ 100% คุณจะกลายเป็นหุ่นยนต์ทันที และคนฟังเขาจะมีความรู้สึกไม่ชอบ ความรู้สึกที่ไม่ดี
หลักสำคัญที่สุด พยายามพูดทุกอย่างให้มันเป็นธรรมชาติธรรมชาติ เกิดจากจิตใจเรา ธรรมชาติเกิดจากตัวเรา ธรรมชาติเกิดจาก ที่เรามีความรู้สึกห่วงใยกับลูกค้า เรามีความพยายามที่จะช่วยลูกค้า มีสิ่งที่ดีๆปรารถนาดีกับลูกค้า นั้นเอง
ถามถึงสิ่งดีๆในลูกค้า
ให้ถามถึงสิ่งดีๆของลูกค้า เราควรเริ่มการเจรจากับลูกค้า ด้วยการถามถึงสิ่งดีๆของลูกค้า ไม่ใช่เรื่องคุยกับลูกค้าถามถึง สิ่งที่มันเป็นเศร้าสร้อย เหงาหงอย แล้วการถามถึงสิ่งดีๆของลูกค้ามันคืออะไร ..
ทุกคนชอบให้พูดคุยมีเรื่องที่มันดูสดชื่น แจ่มใส มีพลัง พูดถึงความสำเร็จของลูกค้า ทุกคนชอบให้คุยถึงเรื่องความสำเร็จของตัวเอง ไม่เชื่อก็ลองถามตัวคุณเองดูสิครับว่าหากเพื่อนมาคุยกับคุณ แล้วเพื่อนของคุณถามคุณว่าคุณประสบความสำเร็จเป็นไง เชื่อผมเถอะครับ งานนี้คุยยาว
เพราะการพูดคุยถึงเรื่องความสำเร็จหน้าที่ขอลูกค้า เป็นการคุยสิ่งดีๆกับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกดี ทำให้คุณกับลูกค้ามีความสนิทสนมกันมากขึ้น การพูดถึงเรื่องดีๆกับลูกค้าช่วยเปิดโอกาสสำหรับเข้าสู่ขั้นตอนของการนำเสนอ หรือ การเจรจาการ ปิดงานขายต่อไปอีกด้วย
เรียกชื่อลูกค้าบ่อย
สำคัญที่สุดคือ อย่าลืมที่จะเรียกชื่อลูกค้า เช่น คุณพงษ์ครับ , คุณเอกครับ , คุณสุรชัยครับ พยายามใช้การเรียกชื่อ พยายามอย่าใช้คำว่า คุณลูกค้า หรือ คุณ คุณ คูณ คำว่า คุณลูกค้าก็พูดได้ไม่ได้ผิดอะไรแต่การเรียกชื่อ ความรู้สึกของคนอยากจะฟังจะรู้สึกว่า เขาใส่ใจในตัวเรา เขาจึงเรียกชื่อเรา ลองดูนะครับเวลาอยู่ใกล้ๆเพื่อนของเรา เราลองเรียกชื่อเพื่อน เอ้ย..สุรชัย เราสังเกตนะครับว่า เขาจะรู้สึก ..เฮ้ย.. เหมือนว่ามีคนคุยกับเขาด้วย มีคนสนใจและใส่ใจเขา
ฉะนั้นหลักสำคัญที่สุด “คุณจะต้องเรียกชื่อลูกค้า” แต่ถ้าเราไม่รู้จักชื่อลูกค้าทำไง .. ก็ถามไงครับ ว่าลูกค้าชื่ออะไร แล้วเราก็พยายามจำ
ข้อดีของการเรียกชื่อลูกค้า คือ ทำให้คุณสามารถจดจำลูกค้าได้ ไม่เช่นนั้น พอคุณแย่กับลูกค้า แล้วคุณก็ลืมชื่อลูกค้า การเรียกชื่อลูกค้าบ่อยๆจะทำให้คุณจำชื่อลูกค้า แล้วเวลากลับมาทำ Report ทำรายงานก็สามารถที่จะนึกหน้าลูกค้าออก ว่าลูกค้าคนนี้ต้องการบ้านแบบนี้ มีความต้องการแบบนี้ ลักษณะพฤติกรรมเป็นแบบนี้ จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ลูกค้าได้ดีขึ้น
ชื่อลูกค้าชื่อลูกค้าเป็นชื่อที่ไพเราะที่สุดครับ ในความคิดของเขา เพราะชื่อของเขาเป็นชื่อที่บุพการีตั้ง คุณพ่อคุณแม่ตั้งให้ เราเรียกชื่อลูกค้าถือว่าเป็นการให้เกียรติลูกค้าแบบสุดๆ ..อย่าลืมนะครับพยายามเรียกชื่อลูกค้า
ต้องมีข้อพิสูจน์ว่า
การจะบอกว่าอสังหาของคุณดี อย่างนั้น อย่างนี้ คำถามคือ ลูกค้าจำเป็นต้องเชื่อคุณไหม หลักสำคัญที่สุด คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีข้อพิสูจน์ว่าอสังหาคุณดีอย่างไร เช่น
“ นี่เป็นกระเบื้องอย่างดีเลยนะมาจากอินโดนีเซียเกรด A คุณภาพเกรด A มีความหนาพิเศษ ทนพิเศษไม่มีการงอแน่นอน” การที่คุณจะพูดในลักษณะแบบนี้ ลูกค้าอาจจะฟังคุณ และจะเชื่อคุณอยากปฏิเสธไม่ได้ แต่ถ้าเกิดว่าคุณมีเอกสารกำกับและการสนับสนุนในสิ่งที่คุณพูด ลูกค้าจะเชื่อมากขึ้น แล้วก็จะมองว่าคุณเป็นคนจริงใจ ในการที่จะให้ข้อมูลให้กับเขา
เพราะฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ข้อพิสูจน์ว่าสินค้าหรือว่าคุณภาพของอสังหาคุณดีอย่างไร และในทำนองเดียวกันถ้าเกิดว่าสินค้าบางตัวอาจจะยังไม่ถึงกับคุณภาพสูงนัก ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยอมรับรับ และอธิบายว่า “ตรงนี้เราอาจไม่จำเป็นต้องใช้คุณภาพเกรด A เพื่อเราจะบริหารงบประมาณค่าใช้จ่าย” หรือว่าอุปกรณ์วัสดุก่อสร้างวัสดุตัวนี้ ไม่ได้เป็นวัสดุที่มีผลต่อความปลอดภัย เราไม่จำเป็นต้องใช้เกรด A ทั้งหมด ถ้าลูกค้าถามทำนองนี้ เราก็จะพูดแบบนี้ได้
แต่ถ้าลูกค้าไม่ถาม สิ่งที่เรากำลังบอกกับลูกค้าว่ามันดีอย่างนู้น อย่างนี้ ให้ค้นหาข้อพิสูจน์ให้ได้ อาจจะมาจากบุคคลที่ผ่านการใช้งานหรือมีประสบการณ์การใช้งานมา หรือ อาจจะมาจากมาตรฐานตาม การรับรอง เพราะฉะนั้น อย่าลืมนะครับ การที่จะบอกว่าบ้านหรืออสังหาของคุณดีนั้น จะต้องมีข้อพิสูจน์ เอกสารยืนยันว่ามันดีจริง อย่างที่คุณบอกมา
มีเรื่องราวที่น่าสนใจในการคุย
คุณจะต้องเก็บเรื่องราวต่างๆรอบตัว เป็นเรื่องที่น่าสนใจคุยแล้วสนุก คุยแล้วคนฟัง อยากฟังด้วย อยากคุยด้วย หาเรื่องราวต่างเอามาเล่าให้ฟัง เขาก็จะสนุกสนาน หรืออาจจะคุยเรื่องของการใช้ชีวิตในวันหยุดบางคนอาจจะคุยเรื่องของการออกกำลังกาย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เป็นปกติวิสัยที่คนเขาชอบคุยกัน
เพราะฉะนั้นคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคุยให้เป็น ต้องมีเรื่องราวหลากหลายที่จะใช้คุยกับลูกค้า ที่เป็นเรื่องราวสนุกสนาน เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องที่ชอบเหมือนกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจเหมือนๆกัน
เพราะการที่คุณมีเรื่องราวที่น่าสนใจ และสนุกสนานในการพูดคุยกับลูกค้า จะทำให้ลูกค้าอยากพูดคุยกับคุณ และส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับคุณ ทำให้การขายอสังหาริมทรัพย์ของคุณเป็นไปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
บุคลิกท่าทางที่เป็นมิตร
เราจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องใช้บุคลิกที่เป็นบวกใ ช้ภาษากายที่เป็นบวก โน้มตัวเข้าไปหาบ้าง แสดงความสนใจมากยิ้มแย้มแจ่มใสบ้าง พยักหน้าตอบรับในสิ่งที่ลูกค้ากำลังพูด ให้แสดงถึงการตอบสนองต่อความรู้สึกของลูกค้าในเวลาที่ลูกค้ากำลังพูดคุยกับเรา ไม่ใช่ว่าทำหน้าที่เมินเฉย มัวแต่กดเข้าโทรศัพท์มือถือกดแต่ไลน์ เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่า มันน่าเบื่อ มันไม่ใช่ กับท่าทีและบุคลิกของเรา
เพราะฉะนั้นหลักสำคัญที่สุดคือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีบุคลิกที่เป็นบวก ทำให้เขามีความรู้สึกว่าเราเนี่ยสนใจเขานะ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะแต่งตัวอย่างไร ถ้าเรามีบุคลิกที่เป็นบวกไปหาเขา เขาก็จะมีความรู้สึกที่ดีกับเรา นั่นเอง
5. คุณจะต้องมีทักษะเรื่องของจิตใจ
การขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นการทำงานที่ต้องเจอกับผู้คน เป็นการทำงานกับมูลค่าทรัพย์สินหลักแสนหลักล้านขึ้นไป การจะซื้อจะขายจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก และทำให้นายหน้ามือใหม่หลายๆคน ที่ทำงานแบบฉาบฉวย หรือทำเพราะกระแส ต้องเดินหันหลังให้กับอาชีพนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างที่ผมได้เกริ่นไว้ตั้งแต่หัวข้อแรกว่า การเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะทำได้ และการจะขายบ้านหลังแรกได้นั้น คุณต้องใช้เวลา คุณต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ คุณต้องใช้เวลาในการอดทนทำอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ลดละความพยายาม คุณถึงจะหวังผลในการทำงานของคุณได้
ฉะนั้นนอกจากที่คุณจะมีทักษะทั้ง 4 ข้อที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วนะ คุณจะต้องมีทักษะในเรื่องการบริหารชีวิต บริหารจิตใจตัวเองด้วย บทความนี้ผมจะแนะนำแนวทางในการใช้ชีวิต ในการบริหารจิตใจของตัวเอง เมื่อพบกับความผิดหวัง และความไม่สมหวังในการทํางาน เพราะถ้าคุณยังจะยึดอาชีพนายหน้าอสังหาแล้วนั้น คุณจะต้องพบกับเหตุการณ์เหล่านี้อย่างแน่นอน สิ่งที่คุณควรทำคือ เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับกับทุกสถานการณ์
5 เคล็ดลับที่จะทำให้คุณมีสภาพพร้อมจิตใจพร้อมในการทำอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
ปล่อยวาง ..เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นลูกค้าของคุณ
ในช่วงเริ่มแรกที่ผมเริ่มทำนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ บ้านทุกหลังที่ผมรับเข้ามาเพื่อที่จะขายช่วยลูกค้า ผมตั้งความหวังกับบ้านหลังไว้อย่างมาก ลูกค้าที่เข้ามาทักถาม ผมว่าจะคาดหวังกับทุกคนที่เพียงแค่เข้ามาสอบถามรายละเอียด แล้วทุกคนก็เงียบหายไป
ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ทำให้สภาพจิตใจของผมในช่วงเริ่มแรก บอกช้ำเป็นอย่างมาก ฉะนั้นประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้มา จากลูกค้าที่เข้ามาสอบถามรายละเอียด ให้คุณปรับมุมมองความคิดแบบนี้ว่า.. “หากเป็นบ้านของเขา จะยากเย็นแค่ไหนมันก็จะเป็นบ้านของเขา..แต่หากไม่ใช่ต่อให้คุณพยายามมากแค่ไหนมันก็ไม่ได้อยู่ดี” นี่คือประโยคที่ผมพูดกับตัวเองทุกครั้งหลังจากวางหูโทรศัพท์กับลูกค้า
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะซื้อบ้านได้ แล้วไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นลูกค้าของเรา
ออกกำลังกาย
การทำงานที่มีประสิทธิภาพประสิทธิภาพ มาจากสภาพร่างกายที่สมบูรณ์และแข็งแรง การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรจะทำเป็นประจำ ผมไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องไปเข้าฟิตเนส เสียเงินเพื่อที่จะได้ออกกำลังกาย ผมกำลังจะบอกว่าให้คุณออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะอยู่ที่ประมาณ 30 นาที นาทีอาจจะเป็นการเดิน การวิ่ง หรือการขยับตัวในท่าต่างๆ
เพราะการออกกำลังกายจะทำให้คุณมีสมาธิในการทำงาน และสามารถที่จะจดจ่อกับการทำงานได้นานขึ้น ทำให้คุณโฟกัสการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาขึ้น
ฉะนั้นการทำนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ คุณควรรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์และพร้อมตลอดเวลา
อ่านหนังสือ
การอ่านหนังสือเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งสำหรับนายหน้าอสังหาริมทรัพย์มือใหม่ หรือแม้แต่หน้าอสังหาริมทรัพย์มือเก่าก็ยังจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพราะการอ่านหนังสือ เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ในการเรียนรู้ เราสามารถที่จะอ่านหนังสือได้ทุกที่ทุกเวลา
ผมได้อ่านหนังสือของชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ได้บอกไว้ว่า การอ่านหนังสือให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด มักจะเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ของทุกวัน ขอร่างกายได้รับการพักผ่อนจากการนอนหลับ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วคุณจะมีพลังสมาธิในการจดจ่อกับการอ่านหนังสือได้ดี ทำให้คุณซึมซับข้อมูลในหนังสือนั้นได้อย่างไรระยะ
หนังสือสำหรับนายหน้าอสังหาทรัพย์สังหาฯมือใหม่ที่ผมจะแนะนำให้อ่านก็คือ
หนังสือที่เกี่ยวกับ การตลาด
หนังสือเกี่ยวกับการขาย
หนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยามนุษย์
หนังสือความรู้ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
4. การนอน
การนอนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คุณควรรักษาเวลาการนอนที่ดี ในช่วงเวลาที่หลับลึกที่สุดของมนุษย์เราและมีการซ่อมสร้างตัวเองของระบบร่างกาย อยู่ช่วงประมาณ 22:00 น ถึง 02:00 น การที่คุณได้พักผ่อนอย่างเพียงพอและมีการซ่อมสร้างตัวเองทำให้สุขภาพร่างกายของคุณ พร้อมที่จะทำงาน ชีวิตในแต่ละวันของคุณจะไม่เศร้าหมอง เวลาคุณผิดหวังกับผลลัพธ์ที่มันเกิดขึ้นในแต่ละวัน คุณสามารถที่จะปล่อยวางมันได้ และมีพลังกายที่จะยืนหยัดต่อสู้ในแต่ละวัน ในการทำงานในการรับมือกับอุปสรรค หรือแม้แต่ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในการทำงานนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
คณะบริหารการนอนของคุณให้ดี เพราะสิ่งนี้ก็เป็น keyword สำคัญ ในการทำงานเช่นกัน
การทำสมาธิ
ก่อนหน้านี้ผมเองเป็นคนที่อารมณ์ร้อน อย่างที่ผมบอกว่า ลูกค้าคนไหนที่เข้ามาหรือเข้ามาถามรายละเอียดกับผม ผมมักจะคาดหวังกับลูกค้าคนนั้นเสมอ จนบางครั้งทำให้เรา กระทำการผิดขั้นผิดตอนไป และส่งผลลัพธ์ที่ไม่เกิดประโยชน์สำหรับตัวคนที่จะซื้อบ้าน คนที่จะขายบ้าน หรือส่งผลลัพธ์โดยตรงกับตัวเราที่ไม่สามารถที่จะปิดงานขายได้ เพราะเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความอยากขายของตัวเองได้ เพราะเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความผิดหวังของตัวเองได้
ฉะนั้นการทำสมาธิ หรือการนั่งสมาธิเป็นประจำ จะช่วยให้เราปล่อยวาง สิ่งที่นอกเหนือความมุ่งหวัง หรือนอกเหนือการกระทำในส่วนที่เราสามารถทำได้ คุณจะสามารถควบคุมอารมณ์ ควบคุมผลลัพธ์ ไม่ให้คาดหวังและมุ่งหวังจนเกินไป
การนั่งสมาธิเราสามารถที่จะเลือกเวลาที่เราสะดวกที่สุดในการทำได้ ส่วนผมเองนั้นเลือกช่วงเวลาประมาณ 5:00 น แล้วใช้เวลานั่งสมาธิหรือทำสมาธิประมาณ 30 นาทีเท่านั้น และหลังจากนั้นผมเองก็เขียนหนังสือ หรือใช้เวลาหลังจากนั้นในการอ่านหนังสือ
5 เทคนิควิธีที่ผมได้อธิบายไปนั้น เป็นการปรับสภาพจิตใจของตัวเองให้พร้อมรับกับการทำอาชีพ จริงๆแล้วสามารถที่จะกลับไปใช้กับการทำอาชีพอื่นได้ด้วย เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องอยู่หรือใช้ชีวิตกับมันในทุกๆวัน
การทำงานไม่ว่าจะทำงานอะไรหรือว่าอาชีพอะไรก็ล้วนแล้วต้องใช้พลังกายพลังใจและความอดทนในการทำกันทั้งนั้น และที่สำคัญที่สุดคือสมาธิ ถ้าเรามีสมาธิ เราก็จะมีสติสัมปชัญญะที่ดี การคิดการอ่านของเราก็จะดีขึ้น ผมเองอยากจะให้ทุกคนฝึกทำสมาธิกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ปรับความรู้สึกอารมณ์ทางจิตใจของเราเองให้อยู่ในกรอบ ให้อยู่ในความควบคุมของตัวเองได้ เพราะสิ่งเหล่านี้คนอื่นไม่สามารถที่จะช่วยเราได้ คุณจะต้องฝึกและทำขึ้นมาด้วยตัวเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น